วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ลักษณะของแมวซาวันนา



Savannah Cat

แมวที่แพงที่สุดในโลก

แมวซาวันน่าห์ (Savannah Cat)
เป็นแมวขนาดใหญ่ มีหน้าตาลม้ายค่อนคล้ายเสือ เป็นแมวสายพันธ์ใหม่ ที่มีการผสมผสานระหว่างแมวป่าแอฟริกันเสือดาวเอเชีย และแมวบ้าน ตัวที่มีขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักได้ถึง 13.6 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ทีมงานบริษัทแคลิฟอร์เนีย ไบโอเทค ซึ่งเป็นผู้เพาะแมวราคาแพงที่สุดในโลกสายพันธ์นี้ขึ้นมายังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า แมวซาวันน่าห์ นี้เป็นแมวที่เลี้ยงง่ายและเป็นมิตรมาก ถึงแม้หน้าตาจะดูดุไปซะหน่อย มันเป็นแมวที่มีความแสนรู้ เช่นสามารถที่จะเปิดประตูเองได้เป็นต้น ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือแมวพันธ์นี้จะไม่มีนิสัยเหมือนแมวทั่วๆไป ที่ชอบหายไปนอกบ้าน แต่นิสัยมันกลับคล้ายสุนัขมากกว่า ชอบให้เจ้านายผูกเชือกจูงพาไปเดินเล่น จึงเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงประเภทใหม่เลย


นอกจากแมวพันธุ์นี้แล้ว ทางผู้พัฒนากำลังดำเนินการเพาะแมวพันธุ์ใหม่ เช่น แมวทอยเกอร์ เป็นการผสมระหว่างแมวบ้านและเสือเบงกอล หรือเจ้าพันธ์โชซี่ เป็นสายพันธ์แมวป่าผสมแมวบ้าน และก็ยังมีแมวซาวานาห์ ที่เกิดจากแมวป่าจากทุ่งสะวันนาในแอฟริกาผสมกับแมวบ้าน เป็นต้น ซึ่งแมวแต่ละตัว แต่ละสายพันธ์ก็จะมีบุคลิก และลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไปด้วยทีนี้กลับมาดูที่เจ้าแมวซาวันน่าห์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นแมวที่แพงที่สุดในโลกก็เนื่องมาจากราคาเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 682,000 บาทไทย) และยังมีแมวซาวันน่าห์ แบบที่ป้องกันการแพ้ขนแมวได้ จะมีราคาเริ่มต้นที่ 28,000 ดอลลาร์ หรือ 870,000 บาท

ลักษณะของแมวพันธุ์เปอร์เชีย

แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย





แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีประวัติแมวเปอร์เซีย และวิธีเลี้ยงแมวเปอร์เซียมาฝาก

           เพราะ แมวเปอร์เซีย เป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

           แมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีปยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง 

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian



แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 ลักษณะสายพันธุ์

           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรก ๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น 

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาลช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

            6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส


แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 ราคาแมวเปอร์เซีย

           อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น

           เกรดเพ็ด (PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา

           เกรดทำพันธุ์และโชว์ (Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน

           นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์ 

           เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรครวมทั้งพยาธิต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย


แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 อาหารและการเลี้ยงดู


           ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

 โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคที่พบบ่อยใน แมวเปอร์เซีย นั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา 

           เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ 

           แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป

ลักษณะของแมวพันธุ์ตองกินิส



เหมียว“ตองกินิส”ลูกผสมไทย-พม่า

โดย - เม่นแคระ

          มีคนเคยคิดกันว่า แมวพันธุ์ผสมที่เรียกกันว่า ตองกินีส (Tonkinese) หรือถ้าจะอ่านเป็นไทยก็ต้องเรียกว่า “พันธุ์ตังเกี๋ย”เป็นแมวที่นำมาจากทางภาคใต้ของพม่าเมื่อปี ค.ศ.1880  
          ทว่า แมวพันธุ์นี้ที่เราไปเรียกเป็นชื่อเกาะชื่ออ่าวอยู่ทางเหนือของเวียดนาม หรือทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการถูกนำชื่อเมืองชื่อเกาะ หรือชื่ออ่าวที่เรียกกันว่า ตังเกี๋ย มาตั้งเป็นชื่อพันธุ์แมวลูกผสมนี้แต่อย่างใดเลย
          ที่จริงแล้ว เจ้าตังเกี๋ยเป็นแมวลูกผสมระหว่างแมวพม่ากับแมวไทย (วิเชียรมาศ) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อราวปี ค.ศ.1960 หรือประมาณ 56 ปีที่ผ่านมา มันเป็นที่รู้จักมักคุ้นในหมู่คนอเมริกันผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงแมวพันธุ์นี้ ในนาม แมวไทยสีทอง
          การผสมพันธุ์ของพวกมันเริ่มต้นจริงๆ ที่ทางตอนใต้ของประเทศแคนาดา ก่อนจะผ่านทางสหรัฐแล้วจึงไปนิยมเลี้ยงกันอย่างมากมายในยุโรป ซึ่งเขาจะนิยมในลักษณะรูปร่างที่มีทั้งแมวพม่าและแมวไทยผสมกันอยู่ในลักษณะของมัน โดยเฉพาะพวกที่ชอบแมวลักษณะโบราณที่มีหัวรูปร่างเหมือนลูกแอปเปิ้ล
          ว่ากันว่า แมวสายพันธุ์นี้ได้ถือกำเนิดมาหลายร้อยปีแล้ว โดยเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ และความที่มันมีนิสัยน่ารัก จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนเลี้ยงแมวเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
           มีขนาดกลาง แลดูมีกล้ามเนื้อกระชับชัดเจน หัวกลมกว่าแมวไทย และยาวกว่าแมวพม่า หน้าผากรูปสี่เหลี่ยม ใบหูขนาดกลาง ที่บริเวณปลายหูมีลักษณะเป็นรูปวงรี ปลายหางเรียวเล็ก ลูกนัยน์ ตาสีน้ำเงินแกมเขียว ดวงตารูปเรียวแหลมเป็นประกาย มีช่วงอายุขัย 10-12 ปี 
            ขนจะคล้ายกับพังพอน มีหลายสี เช่น สีช็อกโกแลต สีนวลครีมเหมือนสีทอง สีน้ำตาล สีน้ำเงิน แก้มจะสีเทา ที่โดดเด่นสีของเจ้าลูกผสมตังเกี๋ย จะมีเก้าจุดเข้มเหมือนแมวไทย แต่อาจไม่ครบทุกจุด
            นิสัย เป็นแมวที่ฉลาด มีความผูกพันกับผู้เลี้ยงมาก ชอบเด็กๆ แต่บางเวลามันก็นิยมที่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ตามนิสัยของเหล่าสัตว์ทั่วไป
            เหมียวสายเลือดไทยพันธุ์นี้ ไม่ชอบทำความสะอาดตัวเอง ออกแนวขี้เกียจ แต่ชอบให้เจ้าของจัดการดูแลให้ อย่างที่ทราบๆกันว่าแมวจะไม่ค่อยถูกกับน้ำ แต่สายพันธุ์นี้ออกจะดีกว่าพันธุ์อื่นจะเชื่อฟังเจ้าของ แม้แรกๆจะออกแนวฝืนอยู่บ้างก็ตาม
            อาหารเหมือนกับแมวสายพันธุ์อื่น กินได้ทั้งอาหารเม็ด อาหารแบบที่เราขยำให้แมวบ้านเรา มันก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
            ฉะนั้น คุณที่กำลังคิดจะเป็นมือใหม่หัดเลี้ยง ขอบอกสายพันธุ์ตองกินีส “ตังเกี๋ย” เข้าขั้นน่าเลี้ยงทีเดียวเชียว 
            สนนราคาเบาะๆ สำหรับเลี้ยงแบบไว้เป็นเพื่อนเล่น หลักหมื่นบาทต้นๆ หากเลี้ยงเพื่อขึ้นเวทีประกวด เฉียดๆ หลัก 2 หมื่นบาท ขณะเดียวกันโรคภัยไข้เจ็บของมันก็ไม่ค่อยมี จะมีก็เรื่องกินอาหารผิดสำแดงทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน 
           ทว่า คุณๆ เจ้าของก็อย่าชะล่าใจไป เพื่อความชัวร์ ทางที่ดีควรพามันไปตรวจเช็กร่างกายกับสัตวแพทย์สักเดือนละครั้ง ก็จะดีครับ!