วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ลักษณะของแมวซาวันนา



Savannah Cat

แมวที่แพงที่สุดในโลก

แมวซาวันน่าห์ (Savannah Cat)
เป็นแมวขนาดใหญ่ มีหน้าตาลม้ายค่อนคล้ายเสือ เป็นแมวสายพันธ์ใหม่ ที่มีการผสมผสานระหว่างแมวป่าแอฟริกันเสือดาวเอเชีย และแมวบ้าน ตัวที่มีขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักได้ถึง 13.6 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ทีมงานบริษัทแคลิฟอร์เนีย ไบโอเทค ซึ่งเป็นผู้เพาะแมวราคาแพงที่สุดในโลกสายพันธ์นี้ขึ้นมายังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า แมวซาวันน่าห์ นี้เป็นแมวที่เลี้ยงง่ายและเป็นมิตรมาก ถึงแม้หน้าตาจะดูดุไปซะหน่อย มันเป็นแมวที่มีความแสนรู้ เช่นสามารถที่จะเปิดประตูเองได้เป็นต้น ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือแมวพันธ์นี้จะไม่มีนิสัยเหมือนแมวทั่วๆไป ที่ชอบหายไปนอกบ้าน แต่นิสัยมันกลับคล้ายสุนัขมากกว่า ชอบให้เจ้านายผูกเชือกจูงพาไปเดินเล่น จึงเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงประเภทใหม่เลย


นอกจากแมวพันธุ์นี้แล้ว ทางผู้พัฒนากำลังดำเนินการเพาะแมวพันธุ์ใหม่ เช่น แมวทอยเกอร์ เป็นการผสมระหว่างแมวบ้านและเสือเบงกอล หรือเจ้าพันธ์โชซี่ เป็นสายพันธ์แมวป่าผสมแมวบ้าน และก็ยังมีแมวซาวานาห์ ที่เกิดจากแมวป่าจากทุ่งสะวันนาในแอฟริกาผสมกับแมวบ้าน เป็นต้น ซึ่งแมวแต่ละตัว แต่ละสายพันธ์ก็จะมีบุคลิก และลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไปด้วยทีนี้กลับมาดูที่เจ้าแมวซาวันน่าห์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นแมวที่แพงที่สุดในโลกก็เนื่องมาจากราคาเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 682,000 บาทไทย) และยังมีแมวซาวันน่าห์ แบบที่ป้องกันการแพ้ขนแมวได้ จะมีราคาเริ่มต้นที่ 28,000 ดอลลาร์ หรือ 870,000 บาท

ลักษณะของแมวพันธุ์เปอร์เชีย

แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย





แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีประวัติแมวเปอร์เซีย และวิธีเลี้ยงแมวเปอร์เซียมาฝาก

           เพราะ แมวเปอร์เซีย เป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

           แมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีปยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง 

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian



แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 ลักษณะสายพันธุ์

           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรก ๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น 

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาลช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

            6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส


แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 ราคาแมวเปอร์เซีย

           อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น

           เกรดเพ็ด (PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา

           เกรดทำพันธุ์และโชว์ (Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน

           นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์ 

           เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรครวมทั้งพยาธิต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย


แมวเปอร์เซีย persian cats ประวัติแมวเปอร์เซีย


 อาหารและการเลี้ยงดู


           ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

 โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคที่พบบ่อยใน แมวเปอร์เซีย นั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา 

           เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ 

           แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป

ลักษณะของแมวพันธุ์ตองกินิส



เหมียว“ตองกินิส”ลูกผสมไทย-พม่า

โดย - เม่นแคระ

          มีคนเคยคิดกันว่า แมวพันธุ์ผสมที่เรียกกันว่า ตองกินีส (Tonkinese) หรือถ้าจะอ่านเป็นไทยก็ต้องเรียกว่า “พันธุ์ตังเกี๋ย”เป็นแมวที่นำมาจากทางภาคใต้ของพม่าเมื่อปี ค.ศ.1880  
          ทว่า แมวพันธุ์นี้ที่เราไปเรียกเป็นชื่อเกาะชื่ออ่าวอยู่ทางเหนือของเวียดนาม หรือทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการถูกนำชื่อเมืองชื่อเกาะ หรือชื่ออ่าวที่เรียกกันว่า ตังเกี๋ย มาตั้งเป็นชื่อพันธุ์แมวลูกผสมนี้แต่อย่างใดเลย
          ที่จริงแล้ว เจ้าตังเกี๋ยเป็นแมวลูกผสมระหว่างแมวพม่ากับแมวไทย (วิเชียรมาศ) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อราวปี ค.ศ.1960 หรือประมาณ 56 ปีที่ผ่านมา มันเป็นที่รู้จักมักคุ้นในหมู่คนอเมริกันผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงแมวพันธุ์นี้ ในนาม แมวไทยสีทอง
          การผสมพันธุ์ของพวกมันเริ่มต้นจริงๆ ที่ทางตอนใต้ของประเทศแคนาดา ก่อนจะผ่านทางสหรัฐแล้วจึงไปนิยมเลี้ยงกันอย่างมากมายในยุโรป ซึ่งเขาจะนิยมในลักษณะรูปร่างที่มีทั้งแมวพม่าและแมวไทยผสมกันอยู่ในลักษณะของมัน โดยเฉพาะพวกที่ชอบแมวลักษณะโบราณที่มีหัวรูปร่างเหมือนลูกแอปเปิ้ล
          ว่ากันว่า แมวสายพันธุ์นี้ได้ถือกำเนิดมาหลายร้อยปีแล้ว โดยเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ และความที่มันมีนิสัยน่ารัก จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนเลี้ยงแมวเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
           มีขนาดกลาง แลดูมีกล้ามเนื้อกระชับชัดเจน หัวกลมกว่าแมวไทย และยาวกว่าแมวพม่า หน้าผากรูปสี่เหลี่ยม ใบหูขนาดกลาง ที่บริเวณปลายหูมีลักษณะเป็นรูปวงรี ปลายหางเรียวเล็ก ลูกนัยน์ ตาสีน้ำเงินแกมเขียว ดวงตารูปเรียวแหลมเป็นประกาย มีช่วงอายุขัย 10-12 ปี 
            ขนจะคล้ายกับพังพอน มีหลายสี เช่น สีช็อกโกแลต สีนวลครีมเหมือนสีทอง สีน้ำตาล สีน้ำเงิน แก้มจะสีเทา ที่โดดเด่นสีของเจ้าลูกผสมตังเกี๋ย จะมีเก้าจุดเข้มเหมือนแมวไทย แต่อาจไม่ครบทุกจุด
            นิสัย เป็นแมวที่ฉลาด มีความผูกพันกับผู้เลี้ยงมาก ชอบเด็กๆ แต่บางเวลามันก็นิยมที่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ตามนิสัยของเหล่าสัตว์ทั่วไป
            เหมียวสายเลือดไทยพันธุ์นี้ ไม่ชอบทำความสะอาดตัวเอง ออกแนวขี้เกียจ แต่ชอบให้เจ้าของจัดการดูแลให้ อย่างที่ทราบๆกันว่าแมวจะไม่ค่อยถูกกับน้ำ แต่สายพันธุ์นี้ออกจะดีกว่าพันธุ์อื่นจะเชื่อฟังเจ้าของ แม้แรกๆจะออกแนวฝืนอยู่บ้างก็ตาม
            อาหารเหมือนกับแมวสายพันธุ์อื่น กินได้ทั้งอาหารเม็ด อาหารแบบที่เราขยำให้แมวบ้านเรา มันก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
            ฉะนั้น คุณที่กำลังคิดจะเป็นมือใหม่หัดเลี้ยง ขอบอกสายพันธุ์ตองกินีส “ตังเกี๋ย” เข้าขั้นน่าเลี้ยงทีเดียวเชียว 
            สนนราคาเบาะๆ สำหรับเลี้ยงแบบไว้เป็นเพื่อนเล่น หลักหมื่นบาทต้นๆ หากเลี้ยงเพื่อขึ้นเวทีประกวด เฉียดๆ หลัก 2 หมื่นบาท ขณะเดียวกันโรคภัยไข้เจ็บของมันก็ไม่ค่อยมี จะมีก็เรื่องกินอาหารผิดสำแดงทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน 
           ทว่า คุณๆ เจ้าของก็อย่าชะล่าใจไป เพื่อความชัวร์ ทางที่ดีควรพามันไปตรวจเช็กร่างกายกับสัตวแพทย์สักเดือนละครั้ง ก็จะดีครับ!

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะของสุนัขพันธุ์แด็กซันต์

                                                   

 ลักษณะทั่วไป



ดัชชุน รูปร่างเตี้ย ขาสั้น ตัวยาว แต่มีการพัฒนาของกล้ามเนื้อที่แน่นและแข็งแรง ลักษณะการเชิดศีรษะเต็มไปด้วยความกล้าหาญและมั่นใจ สีหน้าของดัชชุนแสดงออกซึ่งความฉลาด ทั้งๆ ที่ขาสั้นเมื่อเทียบกับความยาวของลำตัว แต่ดัชชุนด์ไม่เคยแสดงออกถึงลักษณะของความพิการ งุ่มง่ามหรือยืดยาดในการเคลื่อนไหว มีความฉลาด สดใสและกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงอันตราย มุ่งมั่นในการทำงานทั้งบนดินและใต้ดิน ประสาทสัมผัสทั้งหมดพัฒนาอย่างดี มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับเกมการล่าสัตว์ใต้ดิน นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการล่าสัตว์ รูปร่างและจมูกที่เหมาะสม ทำให้ได้เปรียบเหนือพันธุ์อื่นทั้งหมดของสุนัขที่ใช้ในกีฬาการสะกดรอย

{pic-alt} ความเป็นมา


สุนัขดัชชุน เป็นสุนัขที่อยู่ในกลุ่มฮาวด์มีรูปร่างที่กระทัดรัด ฉลาด ขี้ประจบ ลำตัวยาวดูแปลกตาจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม "สุนัขไส้กรอก" ชื่อดัชชุน (dachs หมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง hund หมายถึงสุนัข ) ปรากฎในหนังสือเกี่ยวกับการล่าสัตว์ในยุโรปสมัยกลาง เป็นสุนัขที่มีความคล้ายคลึงสุนัขฮาวด์ในการแกะรอย และมีรูปร่างและอารมณ์คล้ายสุนัขเทอร์เรียร์ มีความสามารถในการติดตามตัวแบดเจอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ดินและมักจะออกมาหาอาหารตอนกลางคืน จึงมักถูกเรียกว่าสุนัขแบดเจอ

ด้วยความแข็งแรงและทรหด บวกกับความฉลาดและกล้าหาญ ทั้งบนและใต้พื้นดิน สุนัขดัชชุน หลายตัวรวมกันสามารถเข้าต่อกรกับหมีป่าได้อย่างสบาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อใช้ในเกมล่าสัตว์แบบอื่นๆ สุนัขดัชชุนด์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนัก 16 - 22 ปอนด์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับสุนัขจิ้งจอก และในการแกะรอยกวางที่ได้รับบาดเจ็บ สุนัขขนาดนี้ได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันดีในอเมริกา สุนัขที่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีน้ำหนัก 12 ปอนด์ ถูกนำมาใช้ล่าสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "Stoat" มีขนาดเล็ก มีขนสีน้ำตาล อาศัยอยู่ในยุโรปตอนเหนือ
การนำเข้าสุนัขพันธุ์ดัชชุนด์มายังประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นมาก่อนการจัดโชว์สุนัขอเมริกาครั้งแรก สุนัขที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกใช้ในการล่าสัตว์น้อยมากเพราะว่าไม่ค่อยมีตัวแบดเจอร์และหมีป่า และไม่มีการล่ากวางด้วยสุนัข รวมทั้งไม่มีการล่าสุนัขจิ้งจอกด้วยการดมกลิ่น ลักษณะและรูปร่างที่ถูกต้องของสายพันธุ์ได้รับการส่งเสริม โดยการนำเข้าสายพันธุ์ที่ใช้ในการล่าสัตว์ของเยอรมันและเพื่อส่งเสิรมความสามารถในการล่าสัตว์ รวมถึงรูปร่างและอารมณ์ที่ดีเลิศ ความสามารถในภาคสนามตามกฎของ AKC ได้รับการกำหนดขึ้นในปี 1935
{pic-alt}



{pic-alt} ลักษณะนิสัย


ดัชชุนเป็นสุนัขฉลาด ขี้สงสารและไม่ค่อยสร้างความ ยุ่งยาก ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน หากได้ รับการ ฝึกอย่างดี อย่างถูกวิธี มันจะเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังคำสั่ง เข้ากับเด็กได้ดี ทีเดียว


{pic-alt} การดูแล

สุนัขพันธุ์ดัชชุนมีสัญชาตญาณของความเป็น นักล่ามันชอบขุดดินเป็นนิสัยในสายพันธุ์ มันชอบที่จะ ขุดดินนอกบ้าน และตะกรุยพื้นในบ้าน หากไม่ได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ มีแนวโน้มที่จะอ้วนเพราะสุนัขพันธุ์ดัชชุนตัวเตี้ยเล็กนี้ จะมีขาสั้นแต่ลำตัว ยาว อันจะเป็นสาเหตุทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับหลัง กำลังศูนย์ถ่วงที่น้ำหนักตกลงบนลำตัว หากกินมากเกินไป จนอ้วนจะทำให้หลังแอ่นอาจจะมีปัญหากับกระดูกสันหลังได้ ผู้เลี้ยงควรใส่ใจกับปัญหาดังกล่าวด้วย


{pic-alt}



{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


ผู้ที่จะเลี้ยงดัชชุน ควรเป็นผู้เลี้ยงที่มีเวลาพาสุนัขไปออกกำลังกาย และให้ความสำคัญกับการควบคุมดูแลสุขภาพของสุนัข


{pic-alt}





{pic-alt}ความน่ารักของสุนัขพันธุ์นี้


{pic-alt} มาตรฐานสายพันธุ์




ขนาดน้ำหนัก 16 - 22 ปอนด์
ศรีษะเมื่อดูจากด้านบนหรือด้านข้าง ศีรษะจะค่อยๆ เรียวเล็กลงอย่างสม่ำเสมอไปยังปลายของจมูก เห็นเป็นเส้นชัดเจน กะโหลกศีรษะกลมเล็กน้อย และควรลาดเอียงทีละน้อยโดยไม่มีสต๊อป ไปยังแนวสันจมูกกระดูกเหนือตายื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปลายจมูกยาวและแคบ ริมฝีปากยึดออกไปคลุมขากรรไกรล่าง แต่ไม่ลึกหรือยื่นออกมา มุมปากไม่มีเครื่องหมายชัดเจน จุดเชื่อมต่อของขากรรไกรบนและล่างอยู่ด้านหลังของตา
ฟันฟันเขี้ยวมีพลังมาก ประกบกันได้สนิท และด้านนอกของฟันกัดด้านล่าง ควรสัมผัสกับด้านในของฟันบนอย่างสนิท
ปากริมฝรปากดำ กระชับ กระบอกปากยาวเล็ก
ตาขนาดปานกลาง รูปไข่ ตั้งอยู่ด้านข่าง แสดงออกถึงความฉลาด มีพลัง ร่าเริง ไม่ดุดัน สีน้ำตาลออกแดง จนถึงดำออกน้ำตาล สำหรับขนทุกชนิดและทุกสี ตาซึ่งเป็นสีขาวหรือสีขุ่นในกรณีของสุนัขลายต่าง ไม่เป็นข้อบกพร่องที่รุนแรงมากนัก แต่เป็นลักษณะที่ไม่พึงปรารถนา
หูไม่อยู่ใกล้ส่วนบนของศีรษะ ไม่ค่อนไปข้างหน้ามากเกินไป ยาวแต่ไม่ยาวมาก ไม่แคบตั้ง หรือม้วนการเคลื่อนไหวของหูมองดูมีชีวิตชีวา และขอบด้านหน้าแตะกับแก้มพอดี
จมูกจมูกสีดำ สีเข้มเป็นมันเงา
คอค่อนข้างยาว มีมัดกล้ามเนื้อ ไม่มีผิวหนังยาน หย่อนตรงคอหอย ขยายออกอย่างสวยงามไปยังไหล่ แสดงความองอาจแต่ไม่แข็ง
อกอกลึก มีกล้ามเนื้อกระชับแน่น ซี่โครงขยายพอดี ไม่ใหญ่เทอะทะ
ลำตัวโดยทั่วไปต้องยาว และเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกรานแข็งแรง อยู่ในแนวตรงที่สุดที่เป็นไปได้ ระหว่างจุดสูงสุดของไหล่ หน้าอกเป็นรูปไข่ และยืดขยายไปด้านล่างไปจนถึงจุดกึ่งกลางของขาหน้าโครงสร้างของกระดูกซี่โครง เต็มและเป็นรูปไข่ เมื่อมองจากด้านบนหรือจากด้านข้าง จะเห็นเต็ม เพื่อให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ เป็นตำแหน่งของหัวใจและปอดกระดูกซี่โครงกลมโค้งแล้วค่อยๆ ประสานกลมกลืนเข้ากับเส้นท้อง ถ้าความยาวถูกต้อง ขาหน้าเมื่อมองดูจากด้านข้างควรปิดคลุมจุดที่ต่ำสุดของเส้นอก เส้นท้องสูงขึ้นเล็กน้อย
เอว-
ขาหน้าขาหน้าท่อนบน มีความยาวเท่ากับแผ่นไหล่ และทำมุมฉากกัน กระดูกแข็งและเต็มด้วยกล้ามเนื้ออยู่แนบชิดกับซี่โครง สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ ขาหน้าจะสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่นๆ อุ้งเท้าหนา กว้างด้านหน้า และเอียงออกด้านนอกเล็กน้อย อัดแน่นนิ้วเท้างุ้มสวยงาม และอุ้มเท้าควรแนบชิดติดกัน มีเล็บที่แข็งแรงด้านล่างมีอุ้งเล็บที่แข็ง ติ่งเล็บอาจต้องถูกตัดออกไป
ขาหลังขาหลังแข็งแรง สั้น ท่อนขาทั้ง 2 ข้างขนาดกัน มั่นคงแข็งแรง
หางหางเรียงเล็ก และสั้น กระดูกหางยาวต่อจากกระดูกสันหลัง ปลายหางเล็กเรียว โค้งขึ้นเล็กน้อย ปลายชี้ไปทางด้านหน้า
ขนลักษณะพิเศษของขนที่แตกต่างกัน 3 ชนิด1. ขนสั้น (หรือขนเรียบ) 2. ขนลวด 3. ขนยาว ซึ่ง ทั้ง 3 ชนิดนี้ควรเป็นไปตามลักษณะมาตรฐานที่ได้กล่าวมาแล้ว ขนยาวและขนสั้นเป็นชนิดที่มีมานาน เป็นพันธุ์ที่อยู่ตัวดีแล้ว แต่ในชนิดลวด เลือดของพันธุ์อื่น ได้ผสมเข้ามาอย่างมีวัตถุประสงค์ แม้กระนั้นในการผสมพันธุ์สิ่งเน้นที่สำคัญที่สุดต้องอยูที่การให้เป็นไปตามชนิดของดัชชุนด์ทั่วไป ลักษณะดังต่อไปนี้ นำมาใช้แยกชนิดกันตามลำดับ
สีขนดัชชุนขนสั้นมีหลายทั้งสีน้ำตาลแดงล้วน น้ำตาลเหลือง หรือสีดำแต้มน้ำตาลแดงที่รอบปาก อก คิ้วเหนือดวงตาและช่วงเท้าทั้ง 4 ข้าง ส่วนขนยาวก็มีสีดำแต้มด้วยสีน้ำตามแดงเป็นจุดๆ อย่างขนสั้น บางตัวเป็นขนสีน้ำตาลเหลืออ่อนๆ บางตัวมีขนสีขาวแต้มจุดดำ มีบางตัวเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม แต้งสีดำไหม้บริเวณขนปลายหู อก และใต้ท้อง